วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ข้าวฟืน

อาหารชนิดนี้เคยได้ยินแต่ชื่อมานาน ทราบแต่เพียงว่าเป็นอาหารท้องถิ่นที่ขึ้นชื่อของชาวไทใหญ่, ไทลื้อ, ไทขึน และไทอื่นๆ ตั้งแต่บริเวณภาคเหนือตอนบนของไทย เลยไปรัฐฉานของพม่า ไปจนถึงตลาดเมืองเจงฮุ่ง แคว้นยูนนาน ประเทศจีน

โดยส่วนตัวก็ได้เดินทางไปทางภาคเหนือของไทยก็หลายครั้งแต่ไม่เคยเห็นที่ไหนมีขายข้าวฟืน กลับมาได้ทดลองชิมให้หายสงสัยก็ที่กรุงเทพฯ นี้เอง ซึ่งแปลกใจมากว่าร้านนี้ตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ ในซอยเพชรบุรี 5 (ซอยวิทยาลัยครูเพชรบุรี) ถนนเพชรบุรี เป็นร้านที่ไม่มีชื่ออย่างเป็นทางการแต่ขึ้นป้ายว่ามีข้าวฟืนขายด้วย

เข้าไปในร้านแล้วก็สั่งข้าวฟืนมาลองชิมสักหนึ่งชาม แต่ทางเจ้าของร้านก็ถามคำถามกลับมาแต่ฟังยังไม่เข้าใจ ด้วยที่เจ้าของร้านมีลักษณะเหมือนคนจีนทางภาคเหนือเวลาพูดภาษาไทยสำเนียงอาจจะไม่ค่อยชัด เลยต้องไปชี้ที่ป้ายเมนูอาหารที่ติดอยู่ข้างฝาร้านดีกว่า จะได้เข้าใจตรงกัน

รอไม่ถึงหนึ่งนาที “ข้าวฟืนร้อน” ก็มาวางตรงหน้าเร็วเหมือนอาหารจานด่วน จากการตรวจสอบทางกายภาพด้วยสายตาแล้ว ข้าวฟืนมีลักษณะเหมือนแป้งเปียกสีเหลืองมีความข้นหนืด รองก้นชามด้วยเส้นก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็ก ไม่มีเนื้อสัตว์ใดๆ เจือปน ส่วนเครื่องปรุงโรยหน้าก็เห็นจะมีเพียงแต่กระเทียมเจียว, ถั่วป่น และผักชี เท่านั้น

ก่อนเข้าสู่ขั้นตอนการชิมก็ต้องปรุงรสซะก่อนด้วยเครื่องปรุงเหมือนของก๋วยเตี๋ยวทั่วไป แต่พริกป่นจะเป็นแบบเอาไปทอดกับน้ำมันก่อน เวลาใส่ลงไปในข้าวฟืนทำให้ตัวข้าวฟืนมีสีแดงเข้ม ลองตักชิมดูก็เหมือนกับกำลังกินซุปก็อร่อยดี (ท่าทางจะใส่ผงชูรสมากไปหน่อย) มีความมัน และความหอมคงเนื่องจากข้าวฟืนนี้ทำมาจากถั่วนั่นเอง

เมื่อทดลองชิมข้าวฟืนเสร็จแล้วแต่ยังไม่รู้สึกอิ่ม ว่าจะสั่งอย่างอื่นมาลองอีกแต่ก็รู้สึกหวาดผวากับการเสพผง (ชูรส) ของผู้คนแถบภาคเหนือตอนบนเป็นอันมาก เพราะเท่าที่ได้เดินทางไปเที่ยวในแถบนั้นมาเห็นมาว่าบรรดาแม่ครัวล้วนประเคนผงลงไปไม่ต่ำกว่าช้อนใหญ่ ลงในอาหารทุกประเภท ไม่เว้นแม้แต่กาแฟ เขาว่ากันว่าถ้าไม่ใส่ “เก๋อหวาน” หรือผงนี้แล้วกินข้าวไม่อร่อย ก็คงจะแล้วแต่ความชอบ ในส่วนของราคาข้าวฟืนชามนี้ตกราคาชามละ 30 บาท ถือว่าราคาแพงมาก จะแพงเพราะเป็นอาหารที่หากินได้ยากในกรุงเทพฯ หรือแพงเพราะว่าขั้นตอนการทำที่ยุ่งยากก็คงสุดจะคาดเดา แต่ถ้าคิดโดยทั่วไปว่าจะเอาเป็นอาหารที่กินเอาอิ่มในแต่ละมื้อคงไม่เหมาะ ถ้าจะเอาแบบลองชิมให้หายสงสัยอันนี้คงไม่ว่ากัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น