วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

หมูทอดเจ๊จง

บ่ายวันหนึ่งได้โดยสารรถเมล์สาย 205 มากับรุ่นน้องที่ทำงานด้วยกัน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อที่จะไปทำงานที่อาคารมโนรม เมื่อรถเมล์มาจอดสุดสายที่อู่แถวแยกศุลกากรก็ลงเดินข้ามฝั่ง และเดินเข้าซอยด้านหลังห้างโลตัส สาขาพระรามสี่ เพื่อเดินตัดทะลุห้างโลตัสไปที่อาคารมโนรม เข้ามาในซอยไม่ลึกนักก็มองเห็นร้านขายอาหารร้านหนึ่งเห็นมีคนเข้าคิวยาวรอสั่งอาหาร ด้วยความสงสัยก็เลยชวนรุ่นน้องหาอะไรกินกันก่อนเข้าไปทำงานดีกว่า มองขึ้นไปด้านบนเห็นป้ายชื่อร้าน “หมูทอดเจ๊จง” ไม่ต้องคิดมากเพราะหิวแล้ว ต่อคิวทันทีไม่รอช้า


เมื่อถึงคิวก็สั่งก็ข้าวหมูทอดจานหนึ่งพร้อมกับจ่ายเงิน 21 บาทเท่านั้น แล้วเข้าไปหาโต๊ะว่างนั่ง พอดีเป็นเวลาที่คนมาใช้บริการเยอะพอสมควรรอสักพักก็มีที่นั่งพอดี ร้านนี้จะเป็นบริการแบบช่วยตัวเองจะเอาช้อนส้อมหรือน้ำสักแก้วต้องลุกไปจัดการเอาเองไม่มีคนคอยบริการให้ (คาดว่าคงจะขายในราคาถูกอยู่แล้วจะให้จ้างแรงงานมาบริการอีกคงไม่ไหว) เมื่อนั่งที่โต๊ะแล้วก็เห็นว่าบนโต๊ะจะมีชามน้ำจิ้มชามใหญ่ พร้อมกับจานใส่ผักสดวางอยู่ น้ำจิ้มแบบมาตราฐานก็จะเป็นน้ำปลาผสมกับพริกป่น ถ้าใครไม่ชอบน้ำจิ้มแบบนี้ทางร้านของเจ๊จงก็จะมีอย่างอื่นให้จิ้มกับหมูทอดด้วย อาทิเช่น ซอสพริก, น้ำจิ้มไก่ และซีอิ๊วดำ ฯลฯ ส่วนผักสดถ้าไม่พอก็ลุกขึ้นไปเอามาเพิ่มได้อีก


แต่มาทราบจุดเด่นของร้านเจ๊จงว่าทำไมคนถึงมาใช้บริการเยอะนักก็ตรงเห็นคนที่มากินสามารถขอเพิ่มข้าวได้ชนิดที่เรียกว่ากินได้กินไป (แต่หมูทอดเพิ่มไม่ได้) และไม่เสียเงินเพิ่มด้วย (ฟรี) อย่างนี้ชอบมาก เลยถือจานเดินไปขอข้าวมาเพิ่มอีกสองทัพพีกลบหมูทอดแทบมิดเลย มาถึงก็เริ่มราดน้ำจิ้มแบบมาตราฐานของร้านลงบนข้าวแล้วก็คลุกให้ทั่วกันแล้วเริ่มกินเลย โดยที่สายตาของเจ้ารุ่นน้องที่มาด้วยกันมองอย่างระทึกขวัญว่าไม่อยากเชื่อจะกินหมด แต่ไม่ต้องห่วงเขมือบหมดแน่นอน (ตักมาแล้วกินไม่หมดเดี๋ยวจะซวยเอา) ตัวหมูทอดรสชาติอร่อยกรอบนุ่มกำลังดีไม่ผิดหวัง


ใช้เวลาไม่นานข้าวหมูทอดของเจ๊จงก็ลงไปนอนอยู่ในท้องเรียบร้อย อร่อย และอิ่มจริงๆ เล่นเอาซะสะดือจุ่นไปเลย คาดไว้ว่าวันหลังจะต้องมาใช้บริการข้าวหมูทอดของร้านเจ๊จงอีกแน่นอน อิ่มด้วยแถมประหยัดอีกต่างหากข้าวหมูทอดราคาจานละ 21 บาทเท่านั้นก็สามารถอิ่มควบได้สองมื้อ สมกับสโลแกนของร้านที่ว่า “หมูทอดขวัญใจคนจน” จริงๆ

วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

บะหมี่เกี๊ยวเจ๊ง้อ

หลังจากที่ได้โดยสารรถไฟกลับจากการทำธุระที่มหาชัย โดยลงที่สถานีรถไฟวงเวียนใหญ่ซึ่งก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว รู้สึกท้องหิวขึ้นมาทันทีจึงนึกว่าเดินหาอะไรกินก่อนกลับบ้านดีกว่า จึงเดินข้ามมาอีกฝั่งถนนซึ่งเป็นทางที่จะเดินไปขึ้นรถไฟฟ้าที่สถานีรถไฟฟ้าวงเวียนใหญ่กลับบ้าน เดินผ่านปากซอยสมเด็จพระเจ้าตากสิน 5 พร้อมกับสายตาสอดส่องหาของกินไปด้วย ก็เหลือบมองเข้าไปในซอยเห็นมีร้านขายบะหมี่เกี๊ยวหมูแดงอยู่ร้านหนึ่งชื่อ “ร้านเจ๊ง้อ” มีคน 2-3 คนยืนรอซื้อบะหมี่เกี๊ยวหมูแดงใส่ถุงกลับไปกินที่บ้านอยู่ ก็เลยตัดสินใจกินบะหมี่ดีกว่าท่าทางน่าจะอร่อย เมื่อเดินเข้าไปในร้านก็หายสงสัยว่าด้วยสาเหตุที่เห็นคนยืนรอซื้อบะหมี่เกี๊ยวใส่ถุงกลับบ้าน ที่แท้ก็ด้วยภายในร้านมีลูกค้ามานั่งกินบะหมี่จนไม่มีโต๊ะจะให้นั่งนั่นเอง อย่างนี้ต้องอร่อยแน่นอน คิดแล้วว่าอย่าให้เสียโอกาสที่มาแถวนี้เลยต้องชิมเสียให้รู้เรื่องรู้ราวไปซะ


ยืนรออยู่ไม่นานก็มีลูกค้าที่กินเสร็จแล้วลุกจากโต๊ะพอดี ก็เลยนั่งต่อซะเลยพร้อมกับสั่งบะหมี่เกี๊ยวแห้งหนึ่งชาม พร้อมกับน้ำแข็งเปล่าหนึ่งแก้วแล้วก็รออยู่สักครู่ใหญ่ ชามบะหมี่เกี๊ยวก็มาวางอยู่ตรงหน้าพร้อมกับถ้วยน้ำซุปอีกหนึ่งถ้วยประมาณว่าเห็นสั่งแบบแห้งกลัวบะหมี่ติดคอจึงให้น้ำซุปแยกมาด้วยเอาไว้ซดกินแก้ติดคออย่างนี้ก็ดีไปอีกแบบ ถ้ามองจากปริมาณของบะหมี่ในชามที่ทางร้านเอามาให้รู้สึกว่าจะมีปริมาณมากกว่าร้านบะหมี่เจ้าอื่นๆ พิจารณาแล้วทางด้านปริมาณถือว่าเยี่ยม แต่นึกขึ้นได้ว่าถ้าจะให้เข้าถึงรสชาติของบะหมี่เกี๊ยวที่แท้จริงต้องไม่ใส่เครื่องปรุงเด็ดขาด ไม่รอช้าเริ่มบรรเลงเพลงตะเกียบทันที


คำแรกที่บะหมี่เข้าปากมีความรู้สึกว่าตัวบะหมี่เหนียวนุ่มกำลังดีไม่กระด้าง หรือจับตัวกันเป็นก้อนอย่างนี้ถือว่าใช้ได้ทีเดียว ต่อจากนั้นหันมาลองจัดการกับตัวเกี๊ยวให้หายสงสัย ลองเอาช้อนตัดแบ่งตัวเกี๊ยวดูภายในก็ โอ้...มีหมูเยอะซะด้วย ปกติจะเห็นแต่แป้งเกี๊ยวห่อหนาๆ ให้ดูตัวเกี๊ยวอ้วนๆ แต่เวลากัดทีมีแต่แป้ง หรือบางร้านก็ใส่หมูนิดหน่อยค่อนไปทางแทบจะมองไม่เห็นเนื้อหมูแต่ให้ดูรู้ว่าเป็นเกี๊ยวห่อหมู แต่ตอนกินก็ต้องใช้จินตนาการช่วยเอาว่ากำลังกินเกี๊ยวหมูเต็มๆ อยู่นะ กินเกี๊ยวไปน้ำตาแทบจะไหล แต่ร้านเจ๊ง้อนี้มีหมูที่เห็นเป็นหมูจริงๆ ไม่ต้องใช้จินตนาการ ชิ้นหมูแดงก็อร่อยไม่แข็งจนเกินไป แต่หั่นชิ้นบางไปนิดนึง ถ้าหั่นชิ้นหนากว่านี้อีกสักหน่อยถือว่าสุดยอดในยุทธจักร


ใช้เวลาไม่นานบะหมี่เกี๊ยวหมูแดงของเจ๊ง้อก็หายเรียบลงท้องอิ่มกำลังดี เห็นป้ายบอกราคาอาหารติดอยู่ที่ฝาผนังก็ยังแปลกใจอยู่ว่ายังขายอยู่ที่ชามละ 25 บาทเท่านั้น โดยที่ร้านอื่นขายกันอยู่ที่ชามธรรมดาก็ชามละ 30 บาทเป็นอย่างต่ำแล้ว ถ้าชามละ 30 บาททางร้านเจ๊ง้อก็มีบริการให้สำหรับลูกค้าที่กินจุเหมือนกัน แต่เจ๊เรียกว่า “ชามพิเศษ” ขนาดชามธรรมดาก็เยอะแล้วถ้าชามพิเศษจะขนาดไหน เบ็ดเสร็จบะหมี่เกี๊ยวหนึ่งชาม+น้ำแข็งเปล่าหนึ่งแก้ว=26 บาท จัดว่าเป็นอาหารที่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในยุคที่เศรษฐกิจฝืดเคืองสมัยนี้ได้เป็นอย่างดี

วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

LED ZEPPELIN

หากให้เอ่ยชื่อหรือนึกถึงวงดนตรีสักวงในอดีตที่เป็นแม่แบบ และมีอิทธิพลต่อเหล่าวง Heavy Metal Band ในปัจจุบัน ชื่อของวง LED ZEPPELIN นั้นคืออีกหนึ่งวงในลำดับต้นๆ ที่หลายต่อหลายคนต้องนึกถึงด้วยงานดนตรีที่เล่นกันด้วยซาวด์อย่างรุนแรง และแตกสนั่น และมีการผสมผสานการเขียนเพลงในแบบของดนตรี Blues ลงไป รวมทั้งเนื้อหาที่รวมเรื่องราวต่างๆ ไว้ตั้งแต่ตำนานเล่าขานในแบบของ Mythology กับความลึกลับในแง่มุมต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องของสิ่งแปลกประหลาด และมหัศจรรย์ แล้วก็เจือปนกลิ่นอายดนตรีในแบบ British Folk ลงไป สิ่งเหล่านี้จึงทำให้งานของ LED ZEPPELIN นั้นมีสไตล์ และมีความเป็นตัวของตัวเองอย่างโดดเด่น จนไปถึงการทำงานที่เน้นความเป็น Concept Album ในทุกอัลบั้มที่เปรียบเสมือนการสร้างสรรค์งานให้เกิดรูปแบบใหม่ๆ ขึ้นมาในยุคนั้น ชื่อ และงานของ LED ZEPPELIN จึงเป็นที่ยอมรับของเหล่าแฟนเพลงได้ไม่ยากภายในเวลาอันรวดเร็ว

LED ZEPPELIN ก่อร่างสร้างวงเริ่มต้นมาจากอดีตสมาชิกของวง THE YARDBIRDS คือ Jimmy Page ที่ร่วมงานกับ THE YARDBIRDS ในอัลบั้มชุดสุดท้าย Little Games ในปี 1967 ก่อนทางวงจะปิดฉากลง และตัว Page ต้องกลับไปเป็นมือกีตาร์รับจ้างในสตูดิโอเหมือนเก่า ตัว Page จึงชักชวนเพื่อนฝูงในวงการนักดนตรีรับจ้างเหมือนกันคือ John Paul Jones แล้วก็ Terry Reid กับ B.J.Willson มือกลองจากวง PROCALHARUM มาร่วมฟอร์มวง แต่ทั้งสองคนปฏิเสธโดย Terry Reid นั้นแนะนำ และติดต่อ Robert Plant ที่ร้องอยู่กับวง HOBBSTWEEDLE ให้แทน Page จึงไปดูวงของ Plant เล่น หลังจากได้ยินเสียงร้องของ Plant ตัว Page จึงไม่รอช้า และรีบชักชวน Plant มาร่วมทำวงทันที ซึ่ง Plant ก็ตอบตกลงเพราะรู้จัก และคุ้นเคยกับชื่อเสียงของ Page มาก่อนเหมือนกัน อีกทั้งเมื่อรู้ว่ายังไม่ได้มือกลองตัว Plant ก็ยังแนะนำเพื่อนเก่าคือ John Bonham จากวงเก่าของ Plant เองคือ BAND OF JOY ให้ Page ได้รู้จัก และชักชวนมาร่วมวงอีกคน ซึ่ง Bonham ก็ตกลงร่วมวงทันทีเหมือนกัน และกันยายนปี 1968 วงก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา และทั้ง 4 คนก็ตกลงที่จะใช้ชื่อวงดนตรีวงใหม่นี้กันว่า NEW YARDBIRDS

หลังจากสมาชิกลงตัวทั้ง 4 ก็เริ่มทำงานดนตรีกันทันที พร้อมทั้งเดินเข้าสตูดิโอเพื่อบันทึกเสียง Debut Album โดยใช้เวลาแค่ 30ชั่วโมงเท่านั้น พองานบันทึกเสียงเสร็จทั้ง 4 ก็ตัดสินใจเปลี่ยนชื่อวงใหม่เป็น LED ZEPPELIN และติดต่อไปที่ ATLANTIC RECORDS ในสหรัฐอเมริกาเพื่อขอเซ็นสัญญา และต้นปี 1969 ในเดือนมกราคม Debut Album ของทางวงก็ถูกวางจำหน่ายพร้อมตารางทัวร์ในอเมริกาก็ถูกจัดเตรียมขึ้นมาทันทีสำหรับอัลบั้มเปิดตัวภายในระยะเวลาแค่ 2 เดือน อัลบั้มเปิดตัวชุดนี้ของทางวงก็สามารถไต่อันดับชาร์จขึ้นไปอยู่ในอันดับ Top Ten ในอเมริกาได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว ตลอดทั้งปี 1969 นี้ทางวงใช้เวลาตลอดทั้งปีหมดไปกับการทัวร์เปิดตัวเพื่อพิสูจน์ฝีมือต่อแฟนเพลงทั้งปี โดยตระเวนทัวร์ทั้งในอเมริกา และฝั่งอังกฤษ โดยในขณะที่อยู่ระหว่างการทัวร์ทางวงก็ใช้เวลาทำงาน และบันทึกเสียงอัลบั้มชุดที่ 2 คือ LED ZEPPELIN II ไปด้วย และในปีเดียวกันเดือนตุลาคมอัลบั้มชุดที่ 2 ก็ถูกออกวางจำหน่ายในเวลาติดๆ กันแล้วก็เช่นเดียวกับอัลบั้มแรก งานชุดนี้ก็สามารถไต่อันดับชาร์จในอเมริกาขึ้นไปถึงอันดับ 1 โดยใช้เวลาเพียง 7 อาทิตย์ ตารางทัวร์ของวงก็ถูกวางคิวยาวเหยียดกันข้ามปีเพื่อโปรโมทอัลบั้มชุดที่ 2

1970 ตุลาคมปีถัดมาหลังจากเสร็จสิ้นทัวร์ อัลบั้มชุดที่ 3 LED ZEPPELIN III ก็ถูกวางจำหน่ายตามมา อัลบั้มชุดนี้นั้นทางวงเริ่มทำงานดนตรีที่มีอิทธิพลของ British Folk เข้ามาผสม และเนื้อหาของเพลงในอัลบั้มก็เริ่มลงลึกเกี่ยวกับเรื่องราวของ Mythology และสไตล์การทำงานก็เกี่ยวเนื่องมาจนถึงอัลบั้มชุดที่ 4 LED ZEPPELIN IV ที่ออกวางจำหน่ายในปี 1971 (พฤศจิกายน) ด้วย ถึงแม้ว่าในอัลบั้มชุดนี้งานดนตรียังคงไว้ซึ่งความจัดจ้าน และหนักหน่วงในสไตล์ Rock ไว้เช่น ในเพลง Black Dog แต่ความโดดเด่นของเพลงอื่นๆ ที่มีโครงสร้างของดนตรี Folk อย่าง The Battle of Evermore หรือ Stairway to Heaven ที่เนื้อหากินใจนักฟังหลายคนกลับฮิต และได้รับความนิยมมากกว่า และยังถูกนำไปเล่นออกอากาศทางสถานีวิทยุอีกด้วยทั้งๆ ที่ตัวเพลงไม่ได้ถูกตัดเป็นแผ่นซิงเกิ้ล และนี่ก็ถือว่าเป็นความสำเร็จอย่างมากมายของวงเลยทีเดียว ส่งผลให้อัลบั้มชุดนี้มียอดขายมากกว่า 16 ล้านแผ่น

แม้ว่าอัลบั้ม LED ZEPPELIN III และ LED ZEPPELIN IV ทางวงจะไม่มีทัวร์ใหญ่ๆ สนับสนุนเหมือนที่ผ่านมา โดยมีแค่การโชว์เล็กๆ เพียงไม่กี่โชว์ แต่ก็แทบไม่เป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จของทางวงที่ได้รับ และถัดมาในปี 1973 ช่วงฤดูใบไม้ผลิ House of the Holy อัลบั้มชุดที่ 5 ของวงก็วางจำหน่ายพร้อมกับการเพิ่มสีสันการทำงานดนตรีอีกครั้งด้วยการนำโครงสร้างดนตรีอย่าง Funk และ Reggae มาผสม โดยที่ดนตรีในสไตล์ถนัดอย่าง Rock หนักๆ และ Folk ก็ยังมีให้ฟังในอัลบั้มนี้ และ LED ZEPPELIN ก็ข้ามจากเกาะอังกฤษมาทุบตาราง Box Office อีกครั้ง ตามมาด้วยตารางการกลับมาทัวร์ใหญ่ตลอดทั้งปี 1973 ของทางวงอีกครั้ง โดยคอนเสิร์ตที่ Medison Square Garden ในเดือนกรกฎาคมนั้นได้ถูกบันทึกไว้เป็นภาพยนตร์ด้วยโดยใช้ชื่อว่า The Song Remains the Same ก่อนจะถูกนำออกมาจำหน่ายอย่างเป็นทางการในอีก 3 ปีถัดมา

ปี 1974 ปีนี้เป็นปีที่ทางวงไม่มีงานออกมาเลยไปจนถึงแม้กระทั่งโชว์ หรือคอนเสิร์ต ด้วยเหตุเพราะทางวงตัดสินใจหันไปทำ และเปิดสังกัดของตนเองขึ้นมาเองที่ใช้ชื่อว่า SWAN SONG เพื่อดูแล และผลิตผลงานของตัวเองไปจนถึงรับนักดนตรี และวงดนตรีในแวดวงเดียวกันเข้าสังกัดด้วย ซึ่งวงหรือศิลปินอย่าง Dave Edmunds, BAD COMPANY หรือ PRETTY THINGS ต่างก็อยู่กับ SWAN SONG ทั้งสิ้น และในปี 1975 เดือนกุมภาพันธ์งานของ LED ZEPPELIN เองคือชุด Physical Graffity ซึ่งเป็นอัลบั้มคู่ก็วางจำหน่ายภายใต้การดูแลของ SWAN SONG เองด้วยเหมือนกัน และตัวอัลบั้มเองก็ได้รับความสำเร็จเหมือนเช่นเคยทั้งในอังกฤษ และอเมริกา โดยติดอยู่ในชาร์ทอัลบั้มของทั้ง 2 ประเทศในเวลาพร้อมๆ กัน ตารางทัวร์ของวงก็ถูกวางตามออกมาติดๆ แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อ Robert Plant และภรรยาเกิดประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์รถคว่ำที่ประเทศกรีซทำให้ Plant ต้องพักพื้นยาว ตารางทัวร์เลยต้องถูกยกเลิกทั้งหมด

ถัดมาจนถึงปี 1976 ช่วงฤดูใบไม้ผลิ LED ZEPPELIN กลับมาอีกครั้งพร้อมกับอัลบั้ม Presence ถึงแม้ว่าอัลบั้มชุดนี้จะประสบความสำเร็จเหมือนเช่นอัลบั้มชุดก่อนๆ ทั้งยอดขายและ การขึ้นอันดับในชาร์ท แต่ผลตอบรับ และกระแสวิจารณ์กลับไม่ค่อยมีการพูดถึงกันมากนัก ด้วยเหตุเพราะออกวางจำหน่ายในเวลาไล่เลี่ยกับภาพยนตร์บันทึกการแสดงสด The Song Remains the Same ที่ค่อนข้างได้รับความสนใจมากกว่า หลังจากอัลบั้มชุดนี้ออกวางจำหน่ายตารางการทัวร์ก็เริ่มต้นอีกในอเมริกาข้ามไปจนถึงปี 1977 แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นอีกในระหว่างการทัวร์ เมื่อเริ่มทัวร์ไปได้แค่ 2 เดือน ลูกชายอายุ 6 ขวบของ Plant ก็มาเสียชีวิตด้วยโรคติดเชื้อในกระเพาะอาหาร ตารางการทัวร์ทั้งหมดจึงถูกยกเลิกอีก แล้วก็ไม่มีการวางแผนด้วยว่าจะกลับมาทัวร์อีกเมื่อไหร่ โดยตัว Plant เองใช้เวลาที่เหลือในช่วงท้ายของปี 1977 ด้วยการแยกตัวออกจากวงไปอยู่อย่างสันโดษ สมาชิกที่เหลือก็ไม่มีใครทำงานดนตรีอะไรกันเลย จวบจนกระทั่งฤดูร้อนปี 1978 ที่ทั้ง 4 คนกลับมาทำงานและสตูดิโอกันอีกครั้ง แล้วก็ออกทัวร์เล็กๆ ไม่กี่แห่งในประเทศทางแถบยุโรป อาทิ สวิสเซอร์แลนด์, เยอรมนี, ฮอลแลนด์, เบลเยี่ยม และออสเตรีย

1979 ปีถัดมาในเดือนกันยายน In Through the Out Door สตูดิโออัลบั้มชุดที่ 8 ของวงก็ออกวางจำหน่ายแล้วก็สามารถขึ้นไปถึงอันดับ 1 ทั้งทางฝั่งอังกฤษ และอเมริกา แล้วก็เริ่มตารางทัวร์อีกก่อนจะไปสิ้นสุดทางแถบยุโรปในเดือนพฤษภาคมปี 1980 และกันยายนปีเดียวกันทางวงก็เริ่มทำงานเพลงกันอีกครั้ง แต่แล้วโศกนาฏกรรมก็เกิดขึ้นกับทางวงอีก โดยคราวนี้เกิดขึ้นกับตัว John Bonham เอง เมื่อรุ่งเช้าของวันที่ 25 เดือนกันยายนมีคนพบศพของ Bonham นอนเสียชีวิตอยู่บนเตียงนอนของตัวเอง โดยแพทย์ชันสูตรศพระบุว่าตัว Bonham เสียชีวิตเพราะสำลักอาเจียนของตัวเอง ด้วยเหตุที่ตัวเขามีนิสัยชอบการดื่มสุราหนักอยู่แล้ว และธันวาคมปีเดียวกัน LED ZEPPELIN ก็ออกแถลงว่าจะไม่มีการหามือกลองคนใหม่มาแทน John Bonham ซึ่งนั่นก็หมายถึงการยุบวงอย่างเป็นทางการ ปิดฉากตำนานอันยิ่งใหญ่ของทางวงเพียงแค่นี้

หลังจากยุบวงไปแล้ว สมาชิกที่เหลือแต่ละคนก็ยังคงทำงานดนตรีกันอยู่เหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นตัว John Paul Jones ที่ก็กลับไปเป็นโปรดิวเซอร์ และนักแต่งเพลง รวมทั้งเป็นศิลปินเดี่ยวในเวลาเดียวกัน Robert Plant ก็ไปเป็นศิลปินเดี่ยวอย่างเต็มตัว แล้วก็ได้รับความสำเร็จจากงานเดี่ยวของตัวเองหลายต่อหลายชุดทั้งยอดขาย และชื่อเสียงที่มีอยู่ ส่วน Jimmy Page ก็ไปฟอร์มวงใหม่กับอดีตนักร้องนำวง BAD COMPANY คือ Paul Rogers ใช้ชื่อวงว่า THE FIRM และถึงแม้ว่าตัว Jimmy Page กับ Robert Plant หลังจากยุบวง LED ZEPPELIN ไปแล้วจะมีการกลับมาร่วมงานเฉพาะกิจกันหลายๆ ครั้ง ไม่ว่าจะเป็นในนามวง THE HONEYDRIPPERS ในปี 1984 หรือการร่วมเล่นกันบนเวทีในงานคอนเสิร์ต Live Aid ปี 1985, งานคอนเสิร์ตครบรอบ 25 ปีของสังกัด ATLANTIC ที่สมาชิกทั้ง 3 คนมากันครบทีมในปี 1988 ไปจนถึงงาน MTV Unplugged ในปี 1994 ซึ่งทำออกมาเป็นอัลบั้มบันทึกการแสดงสดด้วย และได้รับถึงแผ่น Platinum แต่โครงการ Reunion วง LED ZEPPELIN ให้กลับมาสร้างประวัติศาสตร์วงการดนตรีขึ้นมาอีกก็ไม่เคยเกิดขึ้นจวบจนทุกวันนี้ ทิ้งไว้แต่เพียงตัวงาน ชื่อเสียง และความยิ่งใหญ่ในอดีตให้คงอยู่ตลอดไปเท่านั้น

Discography


LED ZEPPELIN I 1969 ATLANTIC
Tracks List:
1.Good Times Bad Times
2.Babe I'm Gonna Leave You
3.You Shook Me
4.Dazed and Confused
5.Your Time is Gonna Come
6.Black Mountain Side
7.Communication Breakdown
8.I Can't Quit You Baby
9.How Many More Times
Link:
File name: LED_ZEPPELIN-1969-LED_ZEPPELIN_I.rar File size: 40.88 MB


LED ZEPPELIN II 1969 ATLANTIC
Tracks Lists:
1.Whole Lotta Love
2.What is and What Should Never Be
3.The Lemon Song
4.Thank You
5.Heartbreaker
6.Living Loving Maid (She's Just a Woman)
7.Ramble On
8.Moby Dick
9.Bring It on Home
Link:
File name: LED_ZEPPELIN-1969-LED_ZEPPELIN_II.rar File size: 37.50 MB


LED ZEPPELIN III 1970 ATLANTIC
Tracks List:

1.Immigrant Song
2.Friends
3.Celebration Day
4.Since I've Been Loving You
5.Out on the Tiles
6.Gallows Pole
7.Tangerine
8.That's the Way
9.Bron-Y-Aur Stomp
10.Hats off to
Link:
File name: LED_ZEPPELIN-1970-LED_ZEPPELIN_III.rar File size: 38.88 MB


LED ZEPPELIN IV 1971 ATLANTIC
Tracks List:
1.Black Dog
2.Rock and Roll
3.The Battle of Evermore
4.Stairway to Heaven
5.Misty Mountain Hop
6.Four Sticks
7.Going to California
8.When the Levee Breaks

Link:
File name: LED_ZEPPELIN-1971-LED_ZEPPELIN_IV.rar File size: 38.74 MB


HOUSES OF THE HOLY 1973 ATLANTIC
Tracks List:
1.The Song Remains the Same
2.The Rain Song
3.Over the Hills and Far Away
4.The Crunge
5.Dancing Days
6.D'Yer Mak'er
7.No Quarter
8.The Ocean
Link:
File name: LED_ZEPPELIN-1973-HOUSES_OF_THE_HOLY.rar File size: 36.90 MB


PHYSICAL GRAFFITI 1975 SWAN SONG
Tracks List:
1.Custard Pie
2.The Rover
3.In My Time of Dying
4.Houses of the Holy
5.Trampled Under Foot
6.Kashmir
7.In the Light
8.Bron-Yr-Aur
9.Down by the Seaside
10.Ten Years Gone
11.Night Flight
12.The Wanton Song
13.Boogie With Stu
14.Black Country Woman
15.Sick Again
Link:
File name: LED_ZEPPELIN-1975-PHYSICAL_GRAFFITI.rar File size: 74.39 MB


PRESENCE 1976 SWAN SONG
Tracks List:
1.Achilles Last Stand
2.For Your Life
3.Royal Orleans
4.Nobody's Fault But Mine
5.Candy Store Rock
6.Hots on for Nowhere
7.Tea for One
Link:
File name: LED_ZEPPELIN-1976-PRESENCE.rar File size: 40.06 MB


THE SONG REMAINS THE SAME [LIVE] 1976 SWAN SONG
Tracks List:
1.Rock and Roll
2.Celebration Day
3.The Song Remains the Same
4.Rain Song
5.Dazed and Confused
6.No Quarter
7.Stairway to Heaven
8.Moby Dick (instrumental)
9.Whole Lotta Love
Link:
File name: LED_ZEPPELIN-1976-THE_SONG_REMAINS_THE_SAME_(LIVE).rar
File size: 90.06 MB


IN THROUGH THE OUT DOOR 1979 SWAN SONG
Tracks List:
1.In the Evening
2.South Bound Saurez
3.Fool in the Rain
4.Hot Dog
5.Carouselambra
6.All My Love
7.I'm Gonna Crawl
Link:
File name: LED_ZEPPELIN-1979-IN_THROUGH_THE_OUT_DOOR.rar File size: 57.26 MB

อัลบั้มที่ถูกทำออกมาจำหน่ายหลังจากยุบวงไปแล้วก็มีเช่น
CODA-1982, BBC SESSIONS [LIVE]-1997,
HOW THE WEST WAS WON [LIVE]-2003, etc.